ละคร เป็นสื่อบันเทิงที่ได้รับความนิยมมากเป็นอับดับหนึ่งในสังคมไทย ซึ่งประเภทของบทละครที่ขายดีและถูกนำมาสร้างสรรค์ส่วนใหญ่แล้วเป็นพล็อตเรื่องแนว soap opera หรือที่เรียกว่าละครน้ำเน่านั่นเอง เนื่องจากคนไทยนั้นมีรสนิยมในการบริโภคสื่อบันเทิงรูปแบบคงที่ตลอดเวลา โดยเห็นได้จากแผนการตลาดของผู้จัดหลายช่องที่มีการนำละครน้ำเน่าเก่า ๆ ที่เคยฉายไปแล้วกลับมาผลิตซ้ำเพื่อขายใหม่อีกรอบ กลายเป็นละครรีเมค แต่ก็ยังคงเรียกกระแสความชื่นชอบจากผู้ชมได้อย่างล้นหลาม เพราะส่วนใหญ่ละครที่ถูกนำมารีเมคนั้นมักมีบทประพันธ์อันตรึงตราตรึงใจ เปรียบเหมือนละครอมตะ แต่ทว่าปัจจุบัน หลายคนต่างมีมุมมองที่เห็นพ้องต้องกันว่า เพราะสาเหตุของละครไทยที่มีความรุนแรงมากขึ้นหรือเปล่า? เลยทำให้เกิดผลกระทบแก่สังคมที่เห็นมากมายในปัจจุบัน
ในแง่มุมของการสร้างละครนั้น สิ่งที่ต้องดูคือเรื่องความเหมาะสมทั้งทางด้านวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ อย่างวัฒนธรรมในการเสพละครของคนไทยก็จะมีความแตกต่างจากวัฒนธรรมการเสพละครของคนยุโรปหรือประเทศอื่น ๆ นั่นเอง สมมิติเราดูละครตลกของบางเทศนั้น เราก็จะรู้สึกว่ามีความตลกไม่เท่าบ้านเรา ก็เช่นเดียวกับละครน้ำเน่า ดราม่า ฯลฯ ซึ่งนอกจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่เป็นตัวกำหนดสำหรับการสร้างละครแล้ว นอกจากนี้ก็ยังมีอีกประการที่ผู้สร้างละครต้องคำนึงถึงเช่นกัน นั่นก็คือกระแสความนิยมของสังคม สังคมมีความเปลี่ยนแปลงไม่เคยหยุดนิ่ง ทำให้ทุกอย่างมีพัฒนาการทั้งดีขึ้นและต่ำลง และผลกระทบก็ตามมา มันเป็นวัฏจักรธรรมชาติในแง่ความเป็นจริงของมนุษย์ที่ย่อมสัมผัสได้และรู้สึกได้กับสิ่งรอบข้างต่าง ๆ เฉกเช่นการดูละคร ที่ทุกคนย่อมได้รับผลกระทบทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะมีทัศนคติในการรับรู้ว่ามุมมองและการนำกรอบประสบการณ์มาตัดสินเพื่อให้เกิดความเข้าใจทั้งหมดนั้นเป็นเช่นไร ซึ่งก็มีทั้งทางด้านดี ไม่ดี จนกระทั่งผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นจะปรากฏออกมาให้คนรอบข้างได้เห็นเป็นรูปธรรม
ละครคือสิ่งที่ให้ความบันเทิงแก่ผู้รับสารอย่างหนึ่ง เมื่อผู้รับสารรับไปก็ย่อมมีการกลั่นกรองออกมาไม่มากก็น้อย แล้วแต่ว่าเนื้อหาหรือบทละครนั้นจะแฝงความหมายอะไรอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสะท้อนสังคม สอนสังคมทำดีได้ดี ให้ข้อคิดในเรื่องสมัยใหม่ ฯลฯ ทุกอย่างเหล่านี้ก็เรียกผลกระทบแล้ว ดังนั้นเราจึงปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าละครส่งผลกระทบต่อสังคม เพราะละครชี้นำปัญหาสังคมจริงๆดังตัวอย่างละครรีเมคเรื่อง
เเรงเงา
แรงเงา เป็นบทประพันธ์ชื่อดังของ นันทนา วีระชน
เริ่มแรกบทประพันธ์ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ในปี พ.ศ. 2529 ในชื่อ แรงหึง
โดยค่าย ไฟว์สตาร์โปรดักชั่น นำแสดงโดย จินตหรา สุขพัฒน์, อำพล ลำพูน,
เกรียงไกร อุณหะนันท์, ญาณี จงวิสุทธิ์
และถูกนำมาสร้างเป็นละครมาแล้ว
ถึง 3 ครั้ง ทางช่อง 3 โดยครั้งแรกใช้ชื่อละครว่า แรงหึง เช่นกัน ในปี พ.ศ.
2531 นำแสดงโดย จริยา แอนโฟเน่, ตฤณ เศรษฐโชค ต่อมา อรุโณชา ภาณุพันธุ์
ผู้จัด บรอดคาซท์ ไทย เทเลวิชั่น เป็นผู้นำมาสร้างอีก 2 ครั้ง คือ ในปี
พ.ศ. 2544 และ 2555 โดยทั้ง 2 ครั้งเปลี่ยนชื่อมาเป็น แรงเงา
เรื่องย่อ
เจนภพเป็นคนเจ้าชู้แต่งงานกับนพนภาซึ่งมีพ่อเป็นอธิบดี เจนภพได้มุตตาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในกรมของตัวเองเป็นภรรยาลับ ๆ มุตตารู้สึกว่าตัวเองท้อง เจนภพโดนนพนภาจับได้และตบหน้ามุตตาต่อหน้าคนมากมาย มุตตาลาออกจากงานกลับบ้านต่างจังหวัด และกลับไปผูกคอตายไปพร้อมกับลูกในท้อง มุนินทร์พี่สาวฝาแฝดกลับมาจากต่างประเทศ ทั้งคู่นิสัยต่างกัน มุตตาเรียบร้อยไม่มีปากเสียง มุนินทร์เป็นคนแข็งและไม่ยอมใคร มุนินทร์รู้เรื่องของมุตตาจึงโกรธมากและปลอมเป็นมุตตา
วีกิจเป็นหลานชายของเจนภพขอร้องให้วีกิจเลิกติดต่อกับมุตตาแต่วีกิจไม่ยอมและมุตตาก็พยายามยั่วให้เจนภพหึง นพนภารู้ว่าเจนภพจะซื้อบ้านและรถให้มุตตา จึงมาอาละวาดที่ทำงาน แต่โดนมุนินทร์ตบ เจนภพถูกอธิบดียื่นคำขาดให้เลิกกับมุตตา มุนินทร์แก้แค้นได้สำเร็จจึงลาออก วีกิจต่อว่ามุนินทร์ทำให้ทั้งสองผิดใจกัน มุนินทร์นัดเจนภพมาขออโหสิกรรมกับสิ่งที่ตนทำไว้กับเขาและนพนภา แต่นพนภามาเห็นก็เข้าใจผิดคิดว่าทั้งคู่นัดจะไปมีอะไรกัน นพนภาถือปืนมายิงมุนินทร์แต่โดนเจนภพแย่งปืน จนพลาดตกบันไดเป็นอัมพาต วิกิจให้เพื่อนสืบจนรู้ว่าผู้หญิงคนที่มาแก้แค้นคือมุนินทร์ วิกิจได้คุยเจนภพว่ามี 2 คน และวิกิจกับเจนภพได้เดินทางไปเพชรบูรณ์บ้านเกิดของมุตตาและมุนินทร์ จนไปรู้ความจริงว่ามุตตาเสียชีวิตไปหลายเดือนแล้ว บรรยากาศงานศพของมุตตาเป็นไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ เจนภพขออโหสิกรรมแก่มุตตา หลังจากนั้น เจนภพก็เปลี่ยนนิสัยเป็นคนรักเดียวใจเดียวกลับไปดูแลนพนภาซึ่งเป็นอัมพาต วิกิจและมุนินทร์ก็ได้ทำความเข้าใจต่อกัน
ความรุนแรงของเนื้อหาการแสดงในละครเรื่องนี้ กลายเป็นประเด็นร้อนจนทำให้มูลนิธิหญิงไทยก้าวไกล ถึงกับร้องเรียนต่อกระทรวงวัฒนธรรม ว่า “ละครเรื่องแรงเงาตอกย้ำค่านิยมเดิม ๆ เกี่ยวกับผู้ชายเป็นใหญ่ในครอบครัว และมีภรรยาได้หลายคน ทั้งยังตอกย้ำเรื่องการแก้ปัญหา ที่ให้ฝ่ายผู้หญิงเป็นฝ่ายหาทางออกเอง และสะท้อนภาพลักษณ์หญิงไทยในมุมที่ไม่สร้างสรรค์ ทั้งๆที่ปัจจุบันผู้หญิงหลายคนมีบทบาทและศักยภาพที่สร้างสรรค์กว่าในละคร”
คำถามก็คือ เหตุใดละครไทยไม่สามารถหนีจากวงจรเหล่านี้ได้?
(หรือประยุกต์ให้มีมุมแตกต่างได้มากกว่าเดิม?) หรือเป็นเพราะสังคมไทยไม่เคย
(แม้แต่จะคิด)ก้าวไปไหน? แต่กลับย่ำอยู่กับที่ ขณะที่ละครไทยกลับยิ่งนำเสนอแต่สิ่งที่เป็นอยู่ตอกย้ำซ้ำซากอยู่อย่างนั้น (เพื่อรักษาเรทติ้ง) โดยไม่กล้าเปลี่ยน หรือ กล้าสรรหาเรื่องราวใหม่ๆมานำเสนอที่อาจมีความสร้างสรรค์มากกว่าเดิม
…จะว่าไป ละครไทย เข้ากันดีกับวาทกรรมคำสวยหรูว่า “สะท้อนสังคม” มาตลอด แต่จะสร้างสรรค์หรือไม่ ก็แล้วแต่วิจารณญาณกันนะครับ ^^
New media CRRu
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556
นิเทศศาสตร์ ยุคดิจิทัล
นิเทศศาสตร์ ยุคดิจิทัล
โลกาภิวัตน์ของเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีทุนนิยมเป็นตัวขับเคลื่อน ในรอบ 10
ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลายเป็นตลาดของสินค้าไอทีโลก
และยังเป็นฐานการผลิตสำคัญของโลกอีกด้วย และ คนรุ่นใหม่มีพฤติกรรมการใช้สื่อรูปแบบใหม่ในสังคม
โดยผู้รับสารเป็นผู้เลือกและกำหนดเวลา ช่องทาง วิธีการ
ในการเปิดรับสารเพื่อเข้าถึงสื่อเอง
ตามความสนใจรวมถึงความสะดวกของผู้ใช้งานการปรับตัวของสื่อไทยเป็นไปตามทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาร์วิน คือ “ผู้ที่ปรับตัวได้จึงอยู่รอด” ซึ่งช่วงนี้องค์รวมทั้งประเทศ ทั้งอุตสาหกรรม ทั้งระบบกิจการสื่อสาร อยู่ในช่วงการปรับตัวสู่ระบบนิเวศใหม่ของระบบสื่อใหม่ เห็นสัญญาณที่ชัดเจนบางส่วน เช่น การปรับตัวของธุรกิจสื่อไทยหลายองค์กรก้าวสู่โลกดิจิทัลแบบก้าวกระโดดจาก สื่อเก่าสู่สื่อใหม่
สิ่งสำคัญในการปรับเปลี่ยนคือ ความรู้และความเข้าใจถึงธรรมชาติของสื่อใหม่ ตลอดจนภาพกว้างของกิจการสื่อใหม่ต่อจากนี้เป็นต้นไปและในอนาคต 5-10 ปี เช่น จากสื่อสิ่งพิมพ์เป็นแอพพลิเคชั่น มีรายละเอียดมากต้องทำความเข้าใจถึงแก่น และกระบวนการสื่อสารเทคนิควิธีการที่จะใช้เพื่อให้เกิดผลสูงสุด เท่าที่ดูหลายสำนักพิมพ์ทำได้ดี แต่บางแอพพลิเคชั่นสะท้อนให้เห็นว่า ยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่าการกระโดดสู่แอพพลิเคชั่นคือ การแปลงไฟล์ จากหนังสือพิมพ์กระดาษ เป็นพีดีเอฟไฟล์เท่านั้น
จุดอ่อนของสื่อและเทคโนโลยีการสื่อสารของไทยคือ “ไร้ทิศทาง” ไม่มีแผนพัฒนาในอนาคต ควรมีการวางให้เป็นระบบ 3-5 ปี, 5-10 ปี, 10-20 ปี ว่าจะก้าวไปเช่นไร ขณะเดียวกันคนทำข่าวหนังสือพิมพ์ปัจจุบันแทบหาข่าวประเภทเชิงสืบสวนไม่ได้ ถ้าลองเอาหนังสือพิมพ์ 2-3 ฉบับ ไม่ว่าจะฉบับที่ตีพิมพ์หรือออนไลน์ในข่าวเรื่องเดียวกัน บ่อยครั้งที่แทบไม่เห็นความแตกต่าง แม้จะเป็นข่าวประเภทเอาไมค์จ่อให้นักการเมืองพูด จึงไม่มีความลึกของข้อมูล ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมีผลและที่มาที่ไปอย่างไร
ธรรมชาติของสื่อยุคใหม่ที่โดดเด่น เฉพาะเจาะจง และเทคโนโลยีการสื่อสารระบบดิจิทัลทำให้การนำเสนอข้อมูลมีมิติเชิงซ้อนได้ มากขึ้น เช่น การนำเสนอข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญบนหน้ากระดาษหรือหน้าจอแบบสื่อเก่ามีข้อ จำกัดที่จำนวนหน้า เวลา หรือมีเพียงหน้าจอเดียว แต่ในโลกดิจิทัลสามารถนำเสนอภาพนิ่ง เสียง ข้อความ และสามารถลิงก์ไปยังข้อมูลอื่น ๆ ได้อีก
“ปัจจุบันนักข่าวสายพันธุ์ใหม่ต้องพัฒนาตนเองให้สามารถสืบข่าว เขียนข่าว เขียนสคริปต์ข่าว ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ ตัดต่อคลิปและส่งข่าวได้ ซึ่งความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วในการทำข่าวระดับนานาชาติ เช่น ในเหตุการณ์ความรุนแรงในอาหรับ ที่นักข่าวหนึ่งคนได้รับ ไอโฟน, สมาร์ทโฟน, แล็ปท็อป ลงสนามข่าว ทำข่าวส่งกลับสำนักข่าวทั้งรูปแบบเนื้อหา ภาพ รวมถึงรายงานภาพสดผ่านวิดีโอ”
ข้อดีของเทคโนโลยีดิจิทัลคือ มีช่องทางและผู้ประกอบการจำนวนมากขึ้น แต่คำว่า “จำนวนมากขึ้น ไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันว่าสื่อจะมีคุณภาพมากขึ้น” ประสบการณ์ของคนไทยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาคงชัดเจน ต่อกรณี วิทยุชุมชน และโทรทัศน์ดาวเทียม ที่ผุดขึ้นมา สื่อที่ดี ๆ มีคุณภาพและจริยธรรมมีส่วนหนึ่งต้องชื่นชมยกย่อง แต่ปัญหาคือมีสื่อที่อาศัยช่องทางเทคโนโลยี และช่องว่างทางกฎหมาย ผนวกกับความหย่อนยานของรัฐ เปิดช่องทางขายสินค้าโฆษณาเกินจริง ปลุกปั่นยุยงให้เกิดความเกลียดชัง รายการล่อแหลมขัดต่อศีลธรรม นี่คือภาพผลกระทบด้านลบที่จะเกิดขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
หากรัฐและผู้ประกอบการไม่ร่วมมือกันจัดระเบียบให้ชัดเจนและถูกต้อง ซึ่งไม่ได้หมายถึงเชิงอำนาจนิยมแต่หมายถึงการจัดระเบียบตามกรอบนิติรัฐ กฎหมาย และการหารือปรึกษาหามาตรการกับสภาวิชาชีพ และหน่วยงาน สมาคมคุ้มครองผู้บริโภคต่าง ๆ
สำหรับผู้บริโภคควรส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงหน้าที่พลเมืองมากขึ้น รวมถึงครอบครัว ภาคส่วนคุ้มครองผู้บริโภค ที่ผ่านมาพยายามสร้างเสริมองค์ความรู้เท่าทันสื่อ ช่วยรณรงค์คุ้มครองผู้บริโภค แต่ยังทำงานได้ในสภาวะจำกัด เพราะขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
การปรับตัวถือเป็นเรื่องธรรมชาติของทุกสิ่ง ซึ่งในภาวะเช่นนี้ผู้เสพสื่อควรวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร เพราะไม่เช่นนั้นอาจตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว.
การพิมพ์
การ พิมพ์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ที่เกิดขึ้นจากความต้องการที่จะสื่อสารกันระหว่างมนุษย์ ต้องการที่จะถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ มนุษย์จึงได้คิดตัวอักษรและเครื่องมือที่จะบันทึกตัวอักษร มนุษย์ได้ใช้ตัวอักษรเป็นสื่อถ่ายทอดความรู้สึก ความนึกคิด ความรู้และประสบการณ์ไปสู่ผู้อื่น มนุษย์ยังคงไม่หยุดแค่นั้นยังหาวิธีที่จะทำให้คนกลุ่มมากได้รับทราบสารต่าง ๆ ที่ต้องการจะถ่ายทอด โดยถ่ายทอดได้ครั้งละมาก ๆ หลาย ๆ สำเนาและไม่เสียเวลามาก โดยจำลองออกมาจากต้นฉบับ มนุษย์ได้เริ่มเรียนรู้วิธีการแกะสลักเป็นสิ่งแรก แล้วนำไปประทับจะทำให้เกิดสำเนาที่เหมือนกับต้นฉบับขึ้น
โยฮันน์ กูเตนเบิร์ก
ถึงกระนั้น เหตุที่กูเตนเบิร์กได้ชื่อว่า เป็นบิดาแห่งการพิมพ์ก็เนื่องมาจากเขาเกิดในดินแดนยุโรปที่มีตัวอักษรแค่ 26ตัว และปัญญาชนของโลกใช้วิทยาการนี้เผยแพร่ความคิด เขาจึงได้ชื่อว่าผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ เพราะวิทยาการของเขาส่งผลต่อวิทยาการแขนงต่างๆของโลกสืบมา
โยฮันเนส เจนส์ไฟลช์ ลาเดน ซูม กูเตนเบิร์ก เกิดราวปี ค.ศ. 1398 ที่เมืองไมนซ์ประเทศเยอรมนี บิดาเป็นขุนนางขั้นสูงชั้นสูง ชื่อ ไฟร์ล เจนส์ไฟร์ล ซูร์ ลาเดน
ส่วนมารดาชื่อ เอลซ์ ไวริช
ในวัยเด็ก กูเตนเบิร์กติดตามบิดาไปโบสถ์เพื่อดูการพิมพ์ภาพ และเห็นว่าการแกะสลักบล็อกไม้เป็นเรื่องยากส่งผลให้หนังสือมีราคาแพงและไม่ ค่อยแพร่หลาย เขาจึงใฝ่ฝันอยากสร้างเครื่องที่สามารถพิมพ์หนังสือได้รวดเร็วนับแต่นั้นมา
ราว ค.ศ. 1411 ประเทศเยอรมนีเกิดเหตุจลาจล บ้านเรือนกว่าร้อยหลังคาเรือนถูกยึด กูเตนเบิร์กพลัดถิ่นไปอยู่ที่เมืองอัลทา เข้าเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยเออเฟิร์ต ดังที่มีชื่อปรากฏในบันทึกของมหาวิทยาลัยเมื่อปี ค.ศ. 1419 ซึ่งเป็นปีเดียวกับบิดาของเขาเสียชีวิต
หลังจากนั้น ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของกูเตนเบิร์กอีกเลย กระทั่งพบจดหมายของเขา เมื่อเดือนมีคม ค.ศ. 1434 ว่าเขาพักแรมอยู่ที่สตาสบูร์กทำงานเป็นลูกจ้าในร้านตัดกระจก เขาประดิษฐ์เครื่องพิมพ์และอักษรโลหะ 26 ชิ้นที่มีขนาดเท่ากันได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
ค.ศ. 1448 กูเตนเบิร์กเดินทางกลับเมืองไมนซ์ เพื่อยืมเงินญาติและเพื่อนมาลงทุนทำโรงพิมพ์ สุดท้ายเพื่อนชื่อโยฮันน์ ฟัสต์ (Johann Fust) ให้ยืมเงิน 800 กิลเดอร์
ค.ศ. 1455 เครื่องพิมพ์กูเตนเบิร์กพิมพ์พระคัมภีร์ไบเบิลออกมาราว 800 เล่ม เป็นที่รู้จักกันในชื่อ’ไบเบิ้ลของกูเตนเบิร์ก’ จากผลงานครั้งนี้ ทำให้เขาได้รับการแต่งตั้งจากสังฆราชเมืองไมนซ์ให้เป็นมหาดเล็ก และได้รับเงินบำนาญอีกด้วย
ต่อมาปี ค.ศ. 1475 วิลเลียม แคกซ์ตันอ นับเป็นหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกของโลก
วิทยาการด้านการพิมพ์ได้แพร่หลายสู่ ประเทศต่างๆอย่างรวดเร็ว ที่เมืองเวนิช ประเทศอิตาลี อัลดุลมานูติอุสช่างพิมพ์สามรถประดิษอักษรตัวเอน รวมถึงรูปแบบตัวอักษรที่เรียบง่ายเป็นจำนวนมาก
แม้กูเตนเบิร์กจะไม่ใช่คนแรกที่คิด ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ แต่สิ่งที่ปฎิเสธไม่ได้ก็คือ เขามีส่วนสำคัญนการทำให้วิทยาการต่างๆของโลกได้รับการเผยแพร่ กูเตนเบิร์กถึงแก่กรรมที่บ้านเกิด เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1468 ศพของเขาถูกนำไปฝังที่โบสถ์นิกายฟรังซิสซึ่งต่อมาโบสถ์แห่งนี้กับสุสานถูกทำลาย ทำให้หลุมศพของกูเตเบิร์กหายสาบสูญไปด้วย
เพราะเทคโนโลยีด้านการพิมพ์หนังสือแท้ๆ จึงทำให้เราทุกวันนี้ สามารถรับและสืบทอด ตลอดจนเผยแพร่ความรู้ ได้อย่างเอนกอนันต์ เพราะหากไม่มีเทคโนโลยีด้านการ พิมพ์นี้แล้ว และให้เราคัดลอกความรู้ต่างๆ กันด้วยมือมนุษย์เองนั้น ก็ยากที่จะทำให้ความ รู้วิทยาการแขนงต่างๆ แพร่หลายอย่างกว้างไกลเฉกเช่นปัจจุบันนี้ โดยเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ว่านั้น ต้องยกเครดิตให้กับนักประดิษฐ์ชาวเยอรมันผู้หนึ่ง นั่นคือ “โยฮันส์ กูเตนเบิร์ก” ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้นราว 400 ปี จีนแผ่นดินใหญ่สามารถ ประดิษฐ์การพิมพ์ได้แล้ว แต่ทว่าก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย เพราะมุ่งรับใช้ราชสำนักเป็นสำคัญ ไม่เหมือนกับกูเตนเบิร์ก ที่ทำให้การพิมพ์หนังสือแพร่หลายไปทั่วทุกหัวระแหง โดยนักประดิษฐ์ “แท่นพิมพ์แบบเคลื่อนที่” ผู้นี้ เกิดเมื่อปีพ.ศ. 1941 ที่เมืองเมนซ์ ดินแดนเยอรมนี ได้ประดิษฐ์คิดค้นแท่นพิมพ์ดังกล่าวขึ้นมา เริ่มจากปี พ.ศ. 1982 ก่อน ที่จะพัฒนามาโดยลำดับ และได้พิมพ์เอกสารต่างๆ มากมาย จนถือว่าได้เป็นงานหลักใน ชีวิตของเขา แต่ที่นับว่ายิ่งใหญ่ เพราะรู้จักแพร่หลายกันอย่างที่สุด ก็คือ การพิมพ์ คัมภีร์ไบเบิล ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “กูเตนเบิร์ก ไบเบิล” ที่พิมพ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 1998
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
ชีวิตเด็กใหม่ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย
ชีวิตเด็กใหม่
หากจะเล่าชีวิตเด็กใหม่ในรั้วมหาวิทลัย ผมก็คงต้องเล่าย้อนถึงเหตุการต่างๆที่นำชีวิตของผมก้าวย่างข้ามรั้วเขามาสู้มหาวิทยาลัยเเห่งนี้ เเต่เดิมนั้นก่อนที่ผมจะได้มาเข้ารับการศึกษาในสถาบันเเห่งนี้นั้นผมเเทบจะไม่ได้มีความรู้หรือความสนใจในสาขาวิชานิเทศศาสตร์เเขนงวิชาการสื่อสารสื่อใหม่เลยเเม้เเต่นิดเดียว เพราะผมนั้นได้ศึกษาชั้นปวช.อยู่ที่วิทยาลัยเทคนิคเชียงราย สาขาเมคคาทรอนิกส์
ในชีวิตวันๆมีเเต่ วงจรไฟฟ้า การกลึง การเชื่อม การตะไบ
ในหัวที่คิดอยู่ตอนนั้น
ก็คือถ้าไม่ต่อปวส.ที่เดิมก็จะไปศึกษาที่
มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาในใจผมคิดที่จะเรียน
สายวิศวะกรรมสาขาคอมพิวเตอร์เอ็นจีเนีย พอผมเรียนที่เทคนิคจบผมก็มุ่งหน้า
ไปสมัคมหาลัยที่ผมตั้งใจไว้ทันที เเละหลังจากผมได้เรียนที่นี้1ปีผมก็รู้เเล้วว่า
วิศวะกรรมสาขาคอมพิวเตอร์เอ็นจีเนีย
มันไม่ใช้เเนวทางของผม
ผมจะไม่ยอมเอาชีวิตทั้งชีวิตไปลงกับอะไรที่มันไม่ใช้สิ่งที่ผมชอบ ดั้งนั้นผมจึงลาออกจากมหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนาเเล้วมาหาสิ่งที่ตัวเองชอบจริงๆเสียที่
หลังจากผมออกจากมหาวิทยาลัยเดิมได้ซักระยะหนึ่ง ผมได้มีเวลาอยู่บ้านอ่านหลังสือ เล่นอินเตอร์เน็ต
หาความรู้หาสิ่งต่างๆที่ผมสนใจ จนมาได้เจอกับมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย โดยผมเลือกที่จะลงเรียน
นิเทศศาสตร์สาขาการสื่อสารสื่อใหม่
หลายคนอาจจะพูดดูถูก
เกี่ยวกับมหาลัยเเห่งนี้ว่า สอนไม่ดีมั้ง เรียนจบออกมาไม่มีงานทำมั้ง ซึ่งจากที่บอกผมก็ไม่อาจเเย้งว่า
ไม่เป็นความจริง เเต่เดียวก่อนการเรียนในมหาวิทยาลัยไม่ใช้การศึกษาหาความรู้พอจบเเล้วไปทำงานอย่างเดียว เเต่มันคือการที่เราได้ก้าวมาสู้ครอบครัวใหญ่เเห่งหนึ่งมีผมคนมากมายหลายที่หลาย
ความคิดหลายมุมมอง มาอยู่ร่วมกันมาทำกิจกรรมร่วมกัน มาใช้ชีวิตนอกบ้าน มาเริ่มต้นความเป็นผู้ใหญ่
ไม่มีคนอื่นต้องคอยห้ามปาม มีเเต่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆคุณครู คณะอาจารย์ ที่จะคอยให้คำปรึกษา เเนวทาง
การใช้ชีวิต การเรียน จะเรียนอย่างไรให้ดีให้มีความสุข โดยการจะเรียนให้ดีมีความสุขนั้น ต้องมี2อย่าง
ควบคู่ไปด้วยกันนั้น คือ กิจกรรมกับการเรียน หลักๆตั้งเเต่มาเรียนวันเเรกกิจกรรมที่ได้ทำนั้นคือ กิจกรรมการรับน้อง การรับน้องมีประโยชน์อะไร น่าจะข้ามคำถามเบสิกแบบนี้ไปก่อนเลยถ้าไม่อยากได้คำตอบส่งเดช การรับน้องเป็นกิจกรรมที่ให้เกิดความสามัคคี รักกันดีทั่วหน้าไป ละลายพฤติกรรม
จริงๆมันก็มีตามนั้นครับ กิจกรรมรับน้องเป็นกิจกรรมที่ดีครับ
ถ้าทำอยู่ในความพอดี
คำถามคือ ที่คุณทำทุกวันนี้มันเกินพอดีไปรึเปล่า
เราควรมีรับน้องไหม และระบบโซตัสมีไปทำไมไปฟังกันครับ
โซตัส (SOTUS) คือระบบหนึ่งของของการฝึกนักศึกษา พบในสถาบันศึกษาบางแห่ง กิจกรรมต้อนรับนักศึกษาใหม่ รับน้อง เป็นที่ถกเถียงกันโดยทั่วไปว่า ระบบนี้เป็นระบบที่ยังมี (หรือเคยมี) ความถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ โดยเฉพาะกับประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่าง ประเทศไทย ผู้บริหารหรือองค์การนักศึกษาสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งมีนโยบายอย่างชัดเจนว่า ไม่สนับสนุนระบบโซตัส แต่ระบบนี้ก็ยังพบอย่างแพร่หลายอยู่ทั่วไป โดยในบางครั้งก็ได้รับการสนับสนุนเป็นการส่วนตัวจากอาจารย์ (ซึ่งเคยผ่านระบบนี้มาก่อน) เอง แม้จะขัดกับนโยบายของสถาบัน แม้เราจะพบระบบโซตัสแพร่หลายในกิจกรรมต้อนรับใหม่ แต่ทั้งสองอย่างนั้นเป็นสิ่งที่แยกจากกัน
แม้ผู้ที่สนับสนุนระบบโซตัสจะอ้างถึงผลดีที่ได้จากระบบนี้ แต่ผู้ที่ไม่สนับสนุนก็ตั้งคำถามว่า ผลดีที่ได้นั้น จำเป็นต้องได้มาโดยระบบโซตัสด้วยหรือไม่, หรือพูดอีกอย่างคือ มีวิธีอื่นอีกไหม ที่จะได้ผลลัพธ์นั้นโดยไม่ต้องใช้ระบบโซตัส. หรือกระทั่งตั้งคำถามว่า สิ่งที่ผู้สนับสนุนระบบโซตัสเรียกว่า "ผลดี" นั้น ที่สุดแล้ว เป็นสิ่งที่ดีงาม หรือจำเป็นจริงหรือไม่
เเต่สิ่งต่างๆที่ผมได้ผ่านกิจกรรมรับน้องมานั้นมานั้น ผมได้เพื่อนเเท้ ผมได้พวกรุ่นพี่ ที่ค่อยเป็นห่วงผมจริงๆเเม้จะโดนดุด่าว่าร้าย โดนทำโทษ เราได้รู้จักกันเเถบไม่ถึงเดือนเเต่เหมือนสนิทกันมาเป็นสิบๆปี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)